อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่ตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก ตำบลห้วยมุ่นอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูง จากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย (แต่จะเปิดให้ขึ้นแค่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น) จุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว คือ การได้ชมทุ่งดอกไม้สีม่วงที่เรียกว่า”ดอกหงอนนาค” และดอกไม้หลากสีสันสลับให้เห็นอยู่ทั่วลานสน ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. – ก.ย ของทุกปี
ลานสนสามใบภูสอยดาว และทุ่งดอกไม้ในป่าสน (จุดหมายที่เราจะไป)
เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ มีพื้นที่ประมาณ 1,000 กว่าไร่ เป็นที่ราบบนเทือกเขาภูสอยดาว ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร การเดินทางไปเที่ยวลานสนสามใบภูสอยดาว ต้องเดินทางเท้าจากน้ำตกภูสอยดาวขึ้นสู่ยอด ภูสอยดาวระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-6 ชั่วโมง ผ่านเนินต่างๆ ดังนี้ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง เนินมรณะ ซึ่งเป็นเนินสุดท้ายลาดขันที่สุด
สิ่งที่ควรรู้อื่นๆ และการเตรียมตัวไปภูสอยดาว
- ค่าลูกหาบกิโลกลัมละ 35 บาทต่อเที่ยว มัดจำขยะ 200 บาทต่อคณะ ตอนลงนำขยะลงมารับเงินมัดจำคืน
- ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท
- ควรฝึกเดินระยะทางไกลๆ เดินขึ้นบันได หรือเล่นฟิตเนสในส่วนของต้นขา
- รองเท้าที่ใช้เดินควรเป็นแบบรองเท้าผ้าใบมีดอก หากไปหน้าฝน ทางจะลื่นมาก ทั้งชันและลื่น อันตรายครับ
- สัญญานโทรศัพท์มีแค่บางจุดต้องเดินไปประมาณ 500 เมตร ไปที่หลักกิโลพรหมแดนไทย-ลาว (เฉพาะ AIS และ ดีแท็ค แต่วันผมไป ดีแทคเงียบสนิท มีแค่ AIS และ True)
- เต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน อุทยานมีให้เช่าอย่างละ 30 บาท/คืน และควรมีผ้ายางคุลมเตนท์ และผ้ายารองเตนท์เพื่อป้องกัน น้ำฝนเตรียมไปเอง หรือจะเสียเงินเช่าของอุทยานทั้งชุดเลยก็ได้ เดี๋ยวจะแจงรายละเอียดในเนื้อหาให้ครับ
- หม้อสนาม และอุปกรณ์เครื่องครัว เตรียมไปเองด้วย
- ด้านบนภูมีเตาอั้งโล่ให้เช่า ถ่านก็มีให้เช่า มีให้เช่าทั้งเตาแก๊สเตาถ่าน แต่แนะนำว่าถ้าใครไปช่วงเทศกาลหรือหยุดยาว หรือวันเสาร์ ควรเตรียมไปสำรองเอง เพราะของอุทยานอาจจะมีไม่เพียงพอต่อนักท่องเที่ยวครับ
- ซอฟเฟวหรืออื่นๆ สำหรับป้องกันยุงและแมลง(คุ้น)
- อาหารต้องเตรียมไปทั้งหมดเลย อยากกินอะไรก็เตรียมไปเอง ไม่มีร้านค้าด้านบนและตามรายทาง
- น้ำไม่ต้องเตรียมไปเพราะด้านบนมีน้ำฝนที่เจ้าหน้าที่รองไว้และน้ำในลำธารที่ นำมาต้มดื่มได้ เตรียมไว้แค่ไว้กินตอนเดินขึ้นระหว่างทาง แต่ถ้าใครรู้สึกไม่สบายใจ ก็เตรียมไปเยอะๆได้ ลูกหาบรับแบกเสมอ ผมเห็นบางกลุ่ม ขนไปที 4-5 แพ็ค ขวดใหญ่ๆ ทั้งนั้น
- ไฟฉายสำหรับเวลากลางคืน และตะเกียงให้ความสว่างตอนกลางคืน (จำเป็นมาก)
- มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ แต่จะต้องไปตักน้ำเอาเอง มีถังให้ยืมไปตักน้ำได้ ห้ามลงอาบน้ำล้างจานในลำธารเด็ดขาด รู้สึกว่าจะเสียค่าปรับด้วยนะครับ ถ้าจำไม่ผิด
- เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยเพราะตกอย่างแน่นอน (อันนี้แล้วแต่บางคนเลย ส่วนตัว ผมชอบตากฝน 555+)
- เสื้อผ้าสัมภาระต้องนำใส่ถุงมัดให้แน่นก่อนที่จะใส่กระเป๋าเพื่อป้องการการเปียกจากน้ำฝน
เมื่อเราเตรียมตัวกันแล้ว ก็มาออกเดินทางกันเลยครับ
การเดินทางครั้งนี้ มีการเตรียมตัวกันแค่ 2 อาทิตย์ เนื่องจากผมอยากจะมาที่นี่มานานแล้ว จึงชวนเพื่อนๆ กลุ่มเก่า ทริปหนุ่มโฉด ที่เคยเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน เที่ยวภูกระดึง มาร่วมเดินป่ากันอีกครั้ง เนื่องจากเคยมีประสบการณ์การเดินป่ามาแล้ว จึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย แต่ผมคิดผิด 555+
ผมเดินทางคืนวันศุกร์ เส้นทางที่ผมใช้ในการเดินทาง เริ่มออกเวลา 24:00 น. จากชลบุรี > มอเตอร์เวย์ > วิ่งเส้นกาญจนาภิเษก > ไปออกอยุธยา > วิ่งขึ้นไปนครสวรรค์ และใช้เส้นทาง พิจิตร > พิษณุโลกครับ
มาถึงตัวเมืองพิษณุโลกก็ 6 โมงเช้าพอดี แวะกินข้าวเช้ากันที่นี่ และหาซื้อของกินเพื่อตุนเสบียง ของใช้บางอย่างที่คิดว่าจะใช้บนภู เพราะหากเราเข้าสู่เส้นทางอุตรดิตถ์แล้ว ร้านค้าจะหายากมากๆ ครับ
- ผมใช้เส้นทางตามแผนที่ด้านบนครับ คือวิ่งจากพิษณุโลกตามถนนหมายเลข 12 และแยกเข้าอุตรดิตถ์เส้นหมายเลข 11
- ขับตรงยาวๆ เลยครับ (ระวังหลับในด้วย ผมขับมาทั้งคืน เกือบจะวูบไปเหมือนกัน) ขับไปเรื่อยๆ เลยจะเห็นสี่แยกใหญ่ ที่เป็นไฟแดง ขวามือไปอำเภอชาติตระการ เข้าถนนหมายเลข 1246
- เมื่อเข้ามาแล้วก็ตรงมาสักพัก จะเห็นแยกใหญ่อีก เลี้ยวขวาเข้าเส้นหมายเลข 1143 เพื่อไปอำเภอชาติตระการ (จากนี้ไป โทรศัพท์จะเริ่มไม่มีสัญญาณแล้วครับ)
- ขับไปเรื่อยๆ เลยครับ ถนนดีมาก แต่ระวังรถสวนมาด้วยนะครับ เพราะถนนดี จึงขับเร็วกันซะส่วนใหญ่
- ให้ขับมาเรื่อยๆ นะครับ เจอแยกไม่ต้องเลี้ยว ใช้เส้นหลักอย่างเดียว จนเมื่อผ่านโรงพยาบาลชาติตระการครับ ถัดไปสักหน่อย จะมีปั้มน้ำมันบางจาก ซึ่งควรเติมไว้สักหน่อย จากนี้ไป ไม่มีน้ำมันแล้วเน้อ
- ผมแวะพักเติมน้ำมันและกินกาแฟในปั้ม พร้อมกับสอบถามเส้นทาง แต่นั่นมันก็สายมากแล้ว ประมาณ 8:30 น. ผมชะช่าใจคิดว่า อีกไม่เกินชั่วโมงคงถึง แต่ผมมลืมคิดไปว่า ระยะทางที่เหลือ มันขึ้นเขาซะครึ่งหนึ่งเลย
- เส้นทางเข้า แคบและมีหลุมบางจุดครับ ระวังรถสวนตอนขึ้นลงเขากันด้วยนะครับ ผมใช้เวลาจากปั้มน้ำมันกว่าจะถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวนี้ 2 ชั่วโมงครับ มันทำให้อะไรหลายๆ อย่างคลาดเคลื่อนไปหมด เนื่องจากกะเวลาผิดพลาด และไม่รู้เส้นทางมาก่อน 555+
มาถึงก็จอดรถและเสียค่าเข้าอุทยานกันก่อนเลย และเตรียมสัมภาระลงไปเพื่อชั่งน้ำหนักที่ทำการอุทยานครับ
อันนี้เป็นรายละเอียดการเช่าเต๊นท์ของที่นี่ครับ มีแบบโปรโมชั่นด้วยนะ เลือกเอาตามชอบเลย ถ้าใครไม่ได้เตรียมมา
จากนั้นผมเดินไปหาอะไรกินรองท้องก่อนขึ้นสักหน่อย ที่จุดขายของที่ระลึก และเราปั้มตราประทับอุทยานได้ที่นี่ครับ
อ่านคู่มือสักหน่อย จำไม่ค่อยได้ เลยถ่ายเอาไว้เลยครับ เมื่อเสร็จภารกิจส่วนตัว เข้าห้องน้ำ เตรียมตัวกันเรียบร้อย ก็มารวมกันที่ที่ทำการ (ที่ชั่งน้ำหนักของ) และเจ้าหน้าที่จะเรียกเราขึ้นรถลากไปส่งที่น้ำตกภูสอยดาวครับ
ในวันนั้น กลุ่มผมเป็นกลุ่มที่ 73 และมาถึงที่นี่ตอน 11 โมง กว่าจะได้ออกเดินทาง ก็ปาเข้าไปเที่ยงตรงพอดี เรียกได้ว่า ช้ามากๆ ครับ เลยต้องไปทำเวลาในการเดินขึ้นกันล่ะทีนี้ คราวนี้แหละ จากที่คิดว่ามันง่าย อะไรๆมันก็ยากครับ (นอนก็ไม่ได้นอน)
เมื่อถึงน้ำตกภูสอยดาว ก็ถ่ายรูปกันสักหน่อย หากใครหิวข้าว ก็เดินข้ามฝั่งลงมากินได้นะครับ มีเสบียงและอะไรหลายๆอย่างให้ซื้อติดตัวไปบนยอดเยอะแยะเลย
เริ่มแล้วครับ เส้นทางสำหรับนักเดินป่าในหน้าฝน ที่ทั้งไกล ชัน และโหดในระดับหนึ่งเลย โดยเราจะผ่านเนินต่างๆ แรกๆ จะเป็นป่าไผ่ สลับน้ำตกตามทางไปเรื่อยๆ เดินสบายๆ ทางไม่ชันมาก อากาศเย็นๆ แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะมันแค่ให้เราวอร์มร่างกายเอาไว้เตรียมรับศึกหนัก
เนินโหดๆ ก็คงจะเป็น ส่งญาติ ปราบเซียน แล้วก็ มรณะ แหละครับ เล่นเอาลิ้นห้อยเลย 555+
ข้ามน้ำตก ข้ามสะพาน เดินตามทางไปเรื่อยๆ เมื่อยก็แวะถ่ายรูปครับ
ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ แต่บางจุดก็มีขยะจากนักท่องเที่ยวทิ้งไว้เกลื่อนกลาด เป็นภาพที่ไม่อยากให้มีเลยครับ มาเที่ยวแล้วมาทำลายธรรมชาติแบบนี้
เดินมาเรื่อยๆ ครับ เริ่มชันแล้ว เริ่มพักกันบ่อยขึ้น และต้องทำเวลาด้วย เพราะนักท่องเที่ยวเยอะ อาจจะได้ที่กางเต๊นท์ที่ทำเลไม่ดีได้ครับ อิอิ
มาถึงจุดนี้บอกได้เลย ทั้งเหนื่อยและหอบ ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไหนจะต้องมาเร่งเดินในทางที่ชันมากๆ ขนาดนี้อีก
ดอกนี้มาบานเอาตอนเดินลงครับ เดี๋ยวมีภาพมาให้ดูด้วย
หลังจากโดนเซียนปราบซะราบคาบ ก็ได้เจอกับทางที่ไม่ชันมาก ถือว่าได้พักไปในตัว เดินชมธรรมชาติ ท้องฟ้าเริ่มมืด ฝนเริ่มจะตก
เดินๆอยู่ บินมาเกาะข้างๆ เลยถ่ายมาซะเลย
เส้นทางเริ่มอยู่ด้านบนแล้วครับ สังเกตจากจะเห็นวิวได้เยอะขึ้น แต่ก็ยังไม่พ้นต้นไม้ใหญ่
เริ่มชันอีกครั้งเมื่อถึงเนินเสือโคร่ง หลังจากนี้ต้องเก็บกล้องแล้วครับ เพราะฝนตกอย่างหนัก ตลอดทางเลย ทั้งลื่น ทั้งชัน โดยเฉพาะที่เนินมรณะ ชันมากๆครับ น้ำไหลเป็นน้ำตกเลย ใครรองเท้ายึดเกาะไม่ดี ในช่วงนี้ อันตรายมากครับ เพราะหากลื่นแล้ว อาจจะตกไปเลยก็ได้
ดูจากสภาพได้เลยครับ ว่าฝนตกซะจนหาพื้นที่แห้งๆ ในตัวไม่เจอเลย 555+ แต่ก็ขึ้นมาถึงป้ายนี้กันจนได้ ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมงครึ่งครับ เรียกว่าบ้าระห่ำกันเกินไป มันจะทำให้ร่างกายทนไม่ไหวเอาได้ ไม่แนะนำให้ฝืนแบบนี้นะครับ เพราะจะเที่ยวไม่สนุก ควรเตรียมเวลา เผื่อเวลาให้ดี
แต่มันก็หายเหนื่อย เมื่อได้มาเห็นลานสนด้านบนแห่งนี้ครับ สดชื่นมากๆ
ฝนเพิ่งหยุดตก พื้นเปียกแฉะหมดเลย แต่ไม่เห็นมีเจ้าทากน้อยนะครับ
เส้นทางเดินจากป้ายผู้พิชิต จนถึงลานกางเต๊นท์ก็ประมาณ 800 เมตร ครับ
เมื่อถึงแล้ว ก็ไปต่อคิวรับของใช้ที่เราเช่าไว้ข้างล่างครับ ต้องอึ้งกับจำนวนคนมาเที่ยว เพราะมันเยอะมาก คิดว่า ไม่ต่ำกว่า 300 คน แน่นอน กลุ่มผมเป็นกลุ่มที่ 73 ซึ่งมี 4 คน และแต่ละกลุ่ม จะมีกลุ่มละกี่คน แบบนี้แย่งกันใช้แน่นอน
เมื่อรับของจากเจ้าหน้าที่เสร็จ ก็มาจัดการเรื่องเต๊นท์ กางเต๊นท์ และจัดของเข้าที่ครับ เวลานี้ก็ประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว ทั้งหิวและเหนื่อย ตั้งเตาสิครับ รออะไร
หลังจากเรื่องเต๊นท์เสร็จ ผมอดไปดูพระอาทิตย์ตกดิน เพราะต้องจัดการเรื่องปากท้องซะก่อน หิวจนทนไม่ไหว 555+ และก็มานั่งคุยกันเฮฮา ด่ากันไป ด่ากันมา ว่ามาทรมานทำไม 3 รุม 1 ครับ จนมืด ไปอาบน้ำและกลับมานอนกันประมาณ 3 ทุ่ม เพราะคิดเอาไว้ว่า คืนนี้จะออกมาถ่ายทางช้างเผือกตอนตี 2 แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะฝนตกทั้งคืนอีกแล้วครับท่าน เจอกันตอนเช้าได้เลย (T T)
ตื่นมา 7 โมง ก็ต้มกาแฟดื่มกันก่อนเลย เต๊นท์ข้างๆ เริ่มเก็บกันหมด เพราะจะให้ลูกหาบแบกลงไปก่อนครับ ส่วนพวกผม ขอกินก่อน แล้วค่อยเก็บเต๊นท์ละกัน
อดถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นด้วยครับ หมอกลงขนาดนี้
พิกัดตาม GPS ครับ ตอนนี้ผมอยู่ ณ จุดนี้เลย ขอบชายแดนจริงๆ ณ ลานกางเต๊นท์
นั่งดูลูกหาบเค้าจัดการสัมภาระกัน แต่ละคน แข็งแรงมากๆ
ถ่ายรูปเล่นสักหน่อย แล้วก็เก็บสัมภาระ ให้ลูกหาบก่อนครับ
(ถามว่ามานอนแค่นี้ แล้วไม่เที่ยวไหนเลยเหรอ เที่ยวครับ แต่ด้านบนนี้ เดินครึ่งวันก็ทั่วแล้ว)
เริ่มแรกเลย เดินสำรวจรอบๆ ลานกางเต๊นท์ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เพราะเมื่อคืนมันมืด มองอะไรไม่ค่อยชัด
แล้วก็ไปน้ำตกสายทิพย์กันต่อ
ขึ้นนิดหน่อย และทางลงไปน้ำตก ชันมากครับ ลื่นด้วย ระวังกันหน่อยเน้อ
แต่ด้านล่างก็สวยงามให้ยอมลำบากลงไปครับ
ร่มรื่น เย็นสบาย นั่งเล่นแช่น้ำกันสักพัก ก็เดินขึ้นไปเที่ยวจุดอื่นกันต่อครับ
เดินเล่นชมวิวตามลานสนครับ สวยงามและเย็นสบาย
แล้วก็เดินไปกันที่มุมมหาชน นั่นคือ เสาหลักกิโล ไทย-ลาว เป็นจุดเดียวที่มีสัญญาณโทรศัพท์ครับ หากจะโทรศัพท์ ก็ต้องมาตรงนี้เท่านั้น ห่างจากลานกางเต๊นท์ 500 เมตรครับ ตอนกลางคืนหากจะมา แนะนำให้มากับเพื่อนนะครับ เผื่อมีอะไร จะได้ช่วยกันได้ เพราะมันมืดมาก มีแค่แสงจากดวงจันทร์เท่านั้น
รอช้าอยู่ใย ถ่ายรูปสิครับ มาทั้งที ได้เที่ยวเมืองนอกด้วย แค่ก้าวขาออกไปก็ประเทศลาวแล้วเด้อ แต่อย่าเดินเข้าไปลึกจนเกินไปนะครับ เพราะประเทศของเค้า เราไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ทางขึ้นยอดสูงสุด 2000 เมตร ก็ไปทางนี้แหละ (มั้ง)
ดื่มด่ำกับธรรมชาติเพียงพอแล้ว ก็เริ่มเดินลงกันเลย กลับแล้วนะ ลานสนภูสอยดาว
ยอดนี้ มันเหมือนกับ สันหนอกวัว ที่เมืองกาญฯ เลยครับ
ขาขึ้นมา เนินมรณะนี้ ไม่ได้ถ่ายรูปกันเลย เลยถ่ายขาลงละกัน มองดูก็หวาดเสียวครับ ชันมากๆ ข้างหน้านี่เหวชัดๆ
ชันอย่างเดียวไม่เท่าไร ลื่นด้วยนี่สิ
เรียบร้อยสิครับ ใส่นันยางขึ้นมา ขาลงนี่นรกชัดๆ ลื่นแทบทุกจุดเลย
ดูจากสภาพเอาครับ นันยาง เก๋ามาตั้งกะรุ่นพ่อ รุ่นผมไม่เก๋าเลย
นี่ครับ ขาลง มันบานร่ำลาพวกเราด้วย บร๊ะ
เห็นพี่ลูกหาบเค้าพัก เลยไปขอเค้าลองแบก แม่จ้าว 60 โล ครับ พี่ลูกหาบบอกว่า เอาลงไม่ไหวแล้ว กำลังรอลูกหาบคนอื่นๆ แบ่งเอาไปแบกบ้าง กลุ่มไหนนะ ช่างทำกับพี่แบบนี้ 555+
ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายสำหรับขาลงครับ เพราะว่าหลังจากเนินป่ากอ จนไปถึงด้านล่าง ฝนตกหนักตลอดเส้นทางครับ หนักกว่าขาขึ้นอีก
หลังจากลงมาถึงด้านล่างแล้ว ก็แวะกินข้าวกันครับ ดูจากสภาพ ฝนตกหนักมากๆ
ขอโปรโมทร้านป้าบุญมาหน่อยครับ ป้าแกใจดี แถมไข่เจียวกับข้าวเปล่าไม่อั้นให้กินจนอิ่มครับ ถ้ามีโอกาส จะไปอีกครับผม
นี่อดอยากกันมาจากไหนไม่รู้เหมือนกัน แต่ป้าแกทำอร่อยมากครับ 555+
เสร็จจากตรงนี้ ก็อาบน้ำที่ทำการน้ำตกภูสอยดาวได้เลย หรือจะนั่งรถไปอาบที่ทำการอุทยานก็ได้นะครับ แต่เจ้าหน้าที่แนะนำให้อาบที่นี่ เพราะไปที่ทำการอุทยาน คนจะเยอะมาก ต้องไปแย่งกันอาบอีก พวกผมเลยอาบมันที่นี่แหละ เสร็จแล้วก็นั่งรถไปรับของคืนครับ
แต่งตัว เคลียร์ของ กันเสร็จ ก็มาถ่ายร่วมกันก่อนกลับครับ ยังฟิตกันอยู่เลย ใช้เวลาเดินลง เท่ากับเดินขึ้นเลย คือ 3 ชั่วโมงครึ่ง เร่งทำเวลา เพราะต้องไปหาที่พักที่พิษณุโลกนอนพักกันอีกคืน แล้วค่อยกลับชลบุรีวันจันทร์ครับ หากขับกลับเลย จะเป็นการเสี่ยงเกินไป เพราะร่างกายเหนื่อยมามากครับ
ณ เวลานี้ ก็ 6 โมงเย็นพอดี เริ่มออกเดินทางไปพิษณุโลก Go Go.
รายละเอียดเพิ่มเติม อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
ติดต่อ สอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้ กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง สุขาชาย-หญิง และ ห้องอาบน้ำบริการร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว เฉพาะทางขึ้นภู ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
- ระหว่างเวลา 8.00 – 16.30 น. โทร 055-436793 ,055-436001 ,055-436002
- ติดต่อที่พัก อาหาร เต้นท์ ลูกหาบก่อนขึ้นลานสน. ขอล่วงหน้าก่อน 3-4 วัน ติดต่อในเวลา 08.00 น.- 16.30น.
สิ้นสุดภารกิจ เส้นทางพิชิตภูสอยดาว 2 วัน 1 คืน ของผมแล้วครับ เหนื่อย สนุก ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย แต่ที่ไม่ค่อยประทับใจก็คือ ความมักง่ายของนักท่องเที่ยวบางคน ที่กินตรงไหน ทิ้งตรงนั้น ก้นบุหรี่เยอะมากครับ เศษขยะก็มากจนบางทีคิดว่า เรามาบุกลุกเค้าแล้ว ยังมาทำแบบนี้อีก หากไม่ช่วยกันรักษาไว้ ต่อไป จะมีสถานที่แบบนี้ให้เที่ยวอีกหรือป่าวก็ไม่รู้ครับ
ภูสอยดาว แล้วสักวัน จะกลับมาเยี่ยมใหม่
Comments